|
ภาพปก
มาตรา 30
ผู้ที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงกรณีกระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก ถือว่าเป็นบุคคลผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปในการเข้ารับราชการตามมาตรา 30 ต้องได้รับการยกเว้นคุณสมบัติจาก ก.พ. หรือได้รับการล้างมลทินตามกฎหมาย เสียก่อนจึงจะขอบรรจุกลับเข้ารับราชการได้ แต่ส่วนราชการจะบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับราชการอีกหรือไม่ เป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52 ที่จะพิจารณา (นร 0709.1/ล 578 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2544)
มาตรา 52
ข้าราชการซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการเพราะมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนตามมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มิใช่ถูกออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัย หากไม่ปรากฏว่าขาดคุณสมบัติทั่วไปในกรณีอื่น ผู้นั้นก็สามารถขอกลับเข้ารับราชการตามเดิมได้ส่วนจะได้รับบรรจุกลับเข้ารับราชการหรือไม่ เป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52 (นร 0709.1/14 ลงวันที่ 4 มกราคม 2545)
มาตรา 59
ข้าราชการถูกลงโทษตัดเงินเดือนหลังจากได้รับเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น คำสั่งลงโทษดังกล่าวย่อมไม่มีผลกระทบกับการเลื่อนระดับตำแหน่งซึ่งดำเนินการไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 59 จึงไม่อาจยกเลิกคำสั่งเลื่อนระดับตำแหน่งได้ (นร 0709.2/ป 556 ลงวันที่ 21 กันยายน 2541)
มาตรา 72
ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีต้องมีผลการปฏิบัติงานเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาได้ หากไม่มีผลการปฏิบัติงานหรือการประเมินผลปฏิบัติงานไม่ถึงเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎ ก.พ. ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2538) ข้าราชการผู้นั้นก็จะไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี (นร 0709.1/130 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2544)
มาตรา 79
กรณีที่จะถือว่า เป็นการดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกับกรรมการผู้จัดการหรือผู้จัดการหรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นเรื่อง ๆ ไป (นร 0709.2/ล 30 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2542)
มาตรา 82
1. ข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีหน้าที่กำกับ ดูแล การดำเนินงานให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ หากฝ่าฝืนคำสั่งกรมฯ ซึ่งห้ามข้าราชการเข้าไปเป็นตัวกระทำการให้สหกรณ์ที่ตนเองรับผิดชอบการเข้าไปกระทำการในสหกรณ์ จึงไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ (นร 0709.1/ล 391 ลงวันที่ 2 เมษายน 2545)
2. ข้าราชการได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานอื่นของส่วนราชการ (จัดสรรสลากการกุศล และเก็บเงินส่งให้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) ซึ่งเป็นงานนอกเหนือจากงานในหน้าที่ ถือว่าข้าราชการผู้นั้นมีหน้าที่ราชการในเรื่องดังกล่าวด้วย หากนำเงินที่รับไว้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวก็จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการได้ (นร 0709.1/(ล) 3 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2544)
มาตรา 84
การประมาทเลินเล่อซึ่งเป็นความผิดทางวินัยจะต้องเป็นการประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ส่วนความเสียหายที่เกิดแก่ราชการกรณีจะร้ายแรงเพียงใดนั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป ซึ่งความเสียหายที่ทางราชการได้รับอาจเป็นความเสียหายที่สามารถคำนวณเป็นราคา หรือเป็นความเสียหายที่เกิดกับภาพพจน์ชื่อเสียงของทางราชการก็ได้ (นร 0709.1/174 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545)
มาตรา 89
ข้าราชการมีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการอื่นต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปเพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมิได้เสนอหนังสือร้องเรียนผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ถือว่าเป็นการใช้สิทธิในทางส่วนตัวเพื่อประโยชน์แก่ราชการมิใช่การปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีจึงไม่เป็นความผิดวินัยฐานกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน (นร 0709.1/ล 531 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544)
มาตรา 92
1. ข้าราชการได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อในประเทศแต่ไม่ไปเรียนตามปกติจนเป็นผลให้เวลาเรียนไม่พอ และไม่ผ่านการสอบประจำปีในปีการศึกษาที่หนึ่ง การขาดเรียนดังกล่าวไม่ถือเป็นความผิดวินัยฐานละทิ้งหน้าที่ราชการ (นร 0709.1/259 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544) 10
2. ข้าราชการถูกลงโทษไล่ออกจากราชการฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหากภายหลังปรากฏหลักฐานว่า ข้าราชการดังกล่าวไม่มีเจตนาละทิ้งหน้าที่ราชการ ภรรยา หรือทายาทของข้าราชการผู้ถูกลงโทษอาจร้องขอและส่งพยานหลักฐานให้ ก.พ.พิจารณาทบทวนคำสั่งลงโทษดังกล่าวได้ (นร 0709.1/225 ลงวันที่ 20 กันยายน 2544)
3. ข้าราชการเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับบุคคลกลุ่มหนึ่งในสถานบันเทิงและถูกห้ามปรามจนกระทั่งได้แยกย้ายจากกัน หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวไม่มีผู้ใดพบเห็นข้าราชการผู้นั้นอีก และผู้บังคับบัญชาได้ทำการสืบสวนแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าข้าราชการผู้นั้นน่าจะถูกฆาตกรรม กรณีเช่นนี้ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อน (นร 0709.1/53 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2545)
4. เมื่อสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในสหรัฐอเมริกามีหนังสือแจ้งข้าราชการซึ่งได้รับอนุมัติให้ลาศึกษาต่อเดินทางกลับประเทศไทยโดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ กรณีให้ถือว่าข้าราชการผู้นั้นได้รับแจ้งการไม่อนุมัติให้ลาศึกษาต่อเมื่อครบกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งหนังสือแจ้งดังกล่าว (นร 0709.1/183 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2545)
5. ข้าราชการละทิ้งหน้าที่ราชการ 2 ครั้ง ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม2540 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2541 รวม 43 วัน หลังจากนั้นได้กลับมาปฏิบัติราชการครั้งที่สองตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2541 เป็นต้นไป และไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย กรณีเช่นนี้จะต้องสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2541 เป็นต้นไป (นร 0709.1/235 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2545)
6. การนับวันสำหรับการกระทำผิดวินัยฐานละทิ้งหน้าที่ราชการนั้นจะต้องนับวันละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันทุกวัน โดยนับรวมวันหยุดราชการ ซึ่งอยู่ระหว่างวันละทิ้งหน้าที่ราชการด้วย (นร 0709.2/28 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2545) 15
7. การที่จะพิจารณาว่าข้าราชการผู้ใดกระทำผิดวินัยฐานละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการตามมาตรา 92 นั้น ต้องปรากฏว่าข้าราชการผู้นั้นมีหน้าที่ราชการที่จะต้องปฏิบัติ แต่ได้ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการไปโดยไม่มีเหตุผล
อันสมควร (นร 0709.2/ล 266 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2541)
8. ข้าราชการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้วได้กลับมาปฏิบัติราชการอีกผู้บังคับบัญชาสามารถใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษในความผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้ตามความร้ายแรงแห่งกรณี โดยจะลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการก็ได้ไม่เป็นการขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี ที่ นว 125/25032 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2503 และมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 (นร 0709.1/ล 963 ลงวันที่ 19 กันยายน 2545)
9. ข้าราชการยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการในวันเดียวกับวันที่ขอลาออกผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสามารถอนุญาตให้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ขอลาออกได้ และเมื่อผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้ข้าราชการดังกล่าวลาออกจากราชการไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาย่อมไม่อาจดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้นั้นในกรณีละทิ้งหน้าที่ราชการอีกได้ (นร 0709.2/ป 673 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2541)
มาตรา 98
1. ข้าราชการที่กระทำผิดเกี่ยวกับเสพยาเสพติด ประเภทแอมเฟตามีน(ยาบ้า) ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง สำหรับระดับโทษ หากมีเหตุอันควรลดหย่อนก็สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้
แต่จะลดโทษลงต่ำกว่าปลดออกจากราชการไม่ได้ (นร 0709.1/534 ลงวันที่ 21 กันยายน 2543)
2. ข้าราชการยื่นฟ้องผู้บังคับบัญชาต่อศาลโดยสุจริต ถือว่าเป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ไม่เป็นการกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 แต่อย่างใด (นร 0709.1/188 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2544) 20
3. การที่จะพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นการประพฤติชั่วตามมาตรา 98 หรือไม่ ให้พิจารณาถึงเกียรติของข้าราชการ ความรู้สึกของสังคม และเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ อีกทั้งให้คำนึงถึงความร้ายแรงแห่งกรณีที่กระทำด้วย
เพื่อจะได้กำหนดสถานโทษให้เหมาะสมกับการกระทำผิด (นร 0709.1/ล 109 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2544)
มาตรา 99
1. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินรายงานผลการตรวจสอบสืบสวนว่ามีข้าราชการกระทำการทุจริต เป็นเหตุให้เงินของทางราชการขาดบัญชี ถือได้ว่าเป็นการชี้มูลการกระทำผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐานเบื้องต้นเพียงพอที่จะกล่าวหา
ข้าราชการผู้นั้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว (นร 0709.2/ป 242 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2542)
2. การดำเนินการตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มิใช่ขั้นตอนของการดำเนินการทางวินัย เมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาเรื่องที่กล่าวหาแล้วเห็นว่ากรณีไม่มีมูล และสั่งยุติเรื่อง จึงไม่ต้องรายงานการดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา 109 (นร 0709.2/818 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2542)
3. การที่ข้าราชการถูกแจ้งความร้องทุกข์ หรือฟ้องคดี หากปรากฏว่ากรณีดังกล่าวไม่มีมูลเป็นการกระทำผิดวินัย หรือพยานหลักฐานในเบื้องต้นยังไม่ชัดเจน ผู้บังคับบัญชาไม่อาจอาศัยเหตุดังกล่าวมาดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการได้ (ด่วนที่สุด ที่ นร 0709.1/160 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2544)
4. ผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหามูลการกระทำผิดวินัย เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และให้ความเห็นแก่ผู้บังคับบัญชา ไม่มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการมาให้ข้อเท็จจริง หรือเรียกเอกสารต่าง ๆ โดยอาศัยอำนาจของตนได้ (นร 0709.1/405 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2544) 25
5. ผู้บังคับบัญชาตามกฎหมาย แม้จะมิใช่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งบรรจุ ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ก็มีอำนาจสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาว่า กรณีมีมูลสมควรที่จะกล่าวหาข้าราชการในบังคับบัญชาว่ากระทำผิดวินัยหรือไม่ (นร 0709.1/282 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2544)
6. เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการแล้ว ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงในกรณีเดียวกัน เมื่อยังไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวยังคงมีหน้าที่ต้องดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้นั้นต่อไป (นร 0709.1/ล 32 ลงวันที่ 21 มกราคม 2545)
มาตรา 102
1. คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชี้มูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการในเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาได้เคยดำเนินการทางวินัยไปแล้ว หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ากรณีที่ชี้มูลครั้งหลังเป็นคนละกรณีกัน ผู้บังคับบัญชาก็ยังสามารถดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ในกรณีดังกล่าวได้อีกไม่เป็นการดำเนินการซ้ำ (นร 0709.1/210 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2543)
2. หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนนั้น มีเจตนารมณ์ที่จะให้คณะกรรมการสอบสวน และผู้บังคับบัญชาดำเนินการเกี่ยวกับการสอบสวนและพิจารณาจนเสร็จสิ้นกระบวนการ มิได้ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาในการสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือระงับการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่ได้สั่งแต่งตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย หากคุณสมบัติของกรรมการสอบสวนไม่เป็นไปตามที่มติคณะรัฐมนตรีกำหนดผู้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนย่อมจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีได้ (นร 0709.1/ล 24 ลงวันที่ 31 มกราคม 2543)
3. การสอบสวนในกรณีกล่าวหาว่าข้าราชการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แม้กฎหมายจะบัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาสามารถดำเนินการโดยวิธีการที่เห็นสมควรได้ก็ตาม แต่เพื่อความเป็นธรรมจะต้องมีการแจ้งให้ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบฐานะที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา และต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วย (นร 0709.2/ป 403 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2542) 30
4. การที่ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษวินัยอย่างไม่ร้ายแรงโดยไม่ได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของมาตรา 102 และขัดกับหลักการพื้นฐานแห่งความยุติธรรม (นร 0709.2/ล 180 ลงวันที่ 29 กันยายน 2542)
5. การดำเนินการสอบสวนตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 เป็นกระบวนการดำเนินการทางวินัย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการสอบสวนแล้วเห็นว่าข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด ผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะต้องรายงานการดำเนินการทางวินัยดังกล่าวไปยังอธิบดีของข้าราชการผู้นั้นตามมาตรา 109 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว (นร 0709.2/818 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2542)
6. เมื่อข้าราชการมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามที่ระบุไว้ในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 เป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าข้าราชการผู้ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนนั้นได้รับการบรรจุและแต่งตั้งมาโดยวิธีใด และในกรณีที่ปรากฏว่าข้าราชการผู้กระทำผิดวินัยอยู่ในอำนาจการสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนของผู้บังคับบัญชาหลายคนให้ผู้บังคับบัญชาที่พบการกระทำความผิดเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน (นร 0709.1/ป 297 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2544)
7. ในกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยข้าราชการ2 คำสั่ง ในเรื่องกล่าวหาเดียวกันแต่ต่างกรณีกัน เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษในกรณีตามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคำสั่งแรกไปแล้ว แม้ผลการสอบสวนในกรณีตามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคำสั่งที่สองจะฟังได้ว่าข้าราชการผู้นั้นกระทำผิดวินัยอีกก็ตาม กรณีไม่อาจสั่งลงโทษข้าราชการผู้นั้นได้อีก เพราะเป็นการกระทำผิดในเรื่องเดียวกัน (นร 0709.1/ ล 469 ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2544)
8. ในกรณีที่มีการกล่าวหาว่าข้าราชการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการสอบสวนตามวิธีการที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร ซึ่งคำว่า “วิธีการที่เห็นสมควร” นั้น หมายถึงวิธีการที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควรจะใช้ในการสอบสวน ซึ่งอาจดำเนินการด้วยวิธีใดก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ทราบเรื่องที่มีการกล่าวหาและต้องให้โอกาสชี้แจงเหตุผลในเรื่องที่มีการกล่าวหาด้วย จะสั่งลงโทษโดยไม่ทำการสอบสวนก่อนไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2539) (นร 0709.1/30 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545) 35
9. เมื่อผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาและสั่งยุติเรื่องแล้ว ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกในเรื่องเดียวกันโดยให้รอการลงโทษไว้ ผู้บังคับบัญชาไม่อาจดำเนินการทางวินัยได้อีก เนื่องจากจะเป็นการดำเนินการซ้ำ และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้บังคับบัญชาได้สั่งยุติเรื่องก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2539 จึงเป็นผลให้กรณีอยู่ในเกณฑ์ได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 (นร 0709.2/ป 17 ลงวันที่ 25 มกราคม 2542)
10. การที่ปลัดกระทรวงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 102 ประกอบกับมาตรา 52 (2) หรือ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 หรือส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กระทรวงพิจารณาตามมาตรา 104 (1) หรือดำเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญทุกระดับในกระทรวงซึ่งมิใช่สำนักงานปลัดกระทรวง ถือว่าเป็นการใช้อำนาจในฐานะปลัดกระทรวง (นร 1009.1/ล 1096 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545)
11. ข้าราชการถูกลงโทษทางวินัยแล้ว ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกผู้นั้นในกรณีเดียวกันอีก ผู้บังคับบัญชาไม่อาจสั่งลงโทษหรือเพิ่มโทษข้าราชการดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นการดำเนินการซ้ำ แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกย่อมถือเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปสำหรับการเป็นข้าราชการ ตามมาตรา 30 (10) ผู้บังคับบัญชาจึงต้องสั่งให้ออกจากราชการ ตามนัยมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (นร 0709.2/565 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2541)
12. การดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52 และผู้มีอำนาจดังกล่าวอาจมอบอำนาจการสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ข้าราชการผู้อื่นปฏิบัติราชการแทนได้ หากผลการสอบสวนปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวก็มีอำนาจดำเนินการสั่งลงโทษวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา 103 ได้ หรือหากผลการสอบสวนปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวก็มีอำนาจส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กระทรวง อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. จังหวัด แล้วแต่กรณี พิจารณาตามมาตรา 104 ได้ (นร 0709.3/3 ลงวันที่ 8 มกราคม 2544)
มาตรา 106
1. ข้าราชการได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ โดยขณะที่ลาออกไม่ปรากฏกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถดำเนินการทางวินัยในภายหลังได้ (ด่วนมาก ที่ นร 0709.1/178 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2543) 40
2. คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งตั้งขึ้นเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รายงานผลการสอบสวนต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการว่าข้าราชการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหลังจากที่ข้าราชการผู้นั้นได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว กรณีไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 กรณีเช่นนี้ ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามที่มีการรายงานได้ (นร 0709.1/210 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2543)
3. เมื่อมีการกล่าวหาเป็นหนังสือว่าข้าราชการผู้ใดมีพฤติการณ์อันพึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ป. หรือต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ก่อนที่ข้าราชการผู้นั้นจะออกจากราชการ แม้คณะกรรมการ ป.ป.ป. หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจะแจ้งเหตุดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจทราบ หลังจากที่ข้าราชการผู้นั้นได้ออกจากราชการไปแล้วก็ตาม ผู้บังคับบัญชาก็ยังสามารถดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการผู้นั้นตามมาตรา 106 ต่อไปได้
ทั้งนี้ การกล่าวหาเป็นหนังสือต่อหน่วยงานดังกล่าวไม่จำต้องเป็นเรื่องทุจริตต่อหน้าที่ราชการเท่านั้น การกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องอื่น แม้อยู่นอกเหนือหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ป. หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้บังคับบัญชาก็สามารถดำเนินการทางวินัยตามนัยมาตราดังกล่าวได้ (นร 0709.1/335 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544) 42
4. การกล่าวหาเป็นหนังสือว่ามีข้าราชการต่างสังกัดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงร่วมกันต่อผู้บังคับบัญชาหน่วยงานใด ย่อมมีผลเป็นการกล่าวหาแต่เฉพาะข้าราชการของหน่วยงานนั้น ไม่มีผลเป็นการกล่าวหาข้าราชการอื่น ซึ่งร่วมกระทำผิดด้วยแต่อย่างใด ดังนั้น หากปรากฏว่าข้าราชการอื่นซึ่งร่วมกระทำผิดได้ออกจากราชการไปแล้วก่อนที่ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้นั้นจะทราบเรื่อง กรณีย่อมไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 106 ที่จะดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการที่ออกไปแล้วได้ (นร 0709.1/335 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544) 43
5. การกล่าวหาเป็นหนังสือว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำหรือละเว้นกระทำการใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 106 นั้น จะต้องระบุตัวผู้กระทำหรือละเว้นการกระทำ ตลอดจนพฤติการณ์แห่งการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วย (นร 0709.1/260 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544) 44
6. เมื่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้นรายงานการขาดราชการเกินกว่า 15 วันของข้าราชการไปยังผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปตามลำดับแล้ว แม้ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจะสั่งให้ทำการสืบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวก่อน และมีความเห็นว่ากรณีเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหลังจากที่ข้าราชการผู้นั้นได้ออกจากราชการไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจก็ยังสามารถดำเนินการตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ได้ (นร 0709.2/240 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2542) 45
7. การที่ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นรายงานการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชาไปยังผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปก่อนที่ข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นออกจากราชการ ถือว่าการรายงานดังกล่าวเป็นการกล่าวหาเป็นหนังสือตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 แล้ว ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสามารถดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าข้าราชการผู้นั้นยังไม่ได้ออกจากราชการ (นร 0709.1/200 ลงวันที่ 18 กันยายน 2544)
8. ข้าราชการซึ่งออกจากราชการไปแล้วย่อมไม่มีสภาพเป็นข้าราชการอีก ผู้บังคับบัญชาจึงไม่อาจสั่งเพิ่มโทษในกรณีกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงกับข้าราชการผู้นั้นได้ และกรณีเช่นนี้ไม่อาจสั่งงดโทษตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ได้เช่นกัน เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง (นร 0709.2/ป 80 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2542)
9. การดำเนินการตามมาตรา 106 เมื่อผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่า ข้าราชการผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชางดโทษแก่ข้าราชการผู้นั้น เนื่องจากมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มีเจตนารมณ์มุ่งหมายที่จะลงโทษข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง (นร 0709.2/ป 337 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2541)
10. การกล่าวหาเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 106 นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผลสรุปความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือมติ อ.ก.พ.กระทรวง หากข้อเท็จจริงตามหนังสือดังกล่าวมีลักษณะที่พึงเห็น
ได้ว่า กรณีมีมูลเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และเป็นการกล่าวหาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนที่ข้าราชการผู้นั้นจะออกจากราชการไป ผู้บังคับบัญชาย่อมดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการดังกล่าวได้ (นร 0709.2/ล 276 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2541) 49
11. ข้าราชการได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการก่อนที่จะมีกรณีถูกกล่าวหาเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ไม่ต้องด้วยเงื่อนไขตามมาตรา 106 ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจจึงไม่อาจแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการผู้นั้นได้ (นร 0709.2/ป 152 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2541) 50
12. การกล่าวหาว่าข้าราชการผู้ใดมีกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงอยู่ก่อนออกจากราชการ ตามนัยมาตรา 106 ไม่จำต้องเป็นการรายงานผลของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสมอไป เพียงแต่มีการกล่าวหาต่อผู้บังคับบัญชา
หรือผู้มีหน้าที่สืบสวนโดยมีเนื้อความที่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้ไม่ระบุชื่อผู้ถูกกล่าวหา เพียงแต่กล่าวหาพอให้ทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นใคร ก็เพียงพอที่ผู้บังคับบัญชาจะดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการ
ผู้นั้นได้
ส่วนการที่ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ ต่อมาถูกดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 106 หากผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งงดโทษ หากผลการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ ตามนัยข้อ 6 (6) ของระเบียบ ก.พ.ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2535 (นร 0709.2/ป 241 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2541)
มาตรา 107
1. ข้าราชการพลเรือนสามัญถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ย่อมไม่มีสถานภาพเป็นข้าราชการ จึงไม่อาจสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ได้ (นร 0709.2/282 ลงวันที่ 16 เมษายน 2542)
2. ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัยในกรณีที่ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้กรณีที่สอบสวนดังกล่าวจะมีการดำเนินคดีอาญาด้วย และพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้กระทำความผิดก็ตาม กรณีก็มิได้เป็นผลให้เหตุแห่งการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนอันเนื่องจากถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงนั้นหมดไป หากการสอบสวนทางวินัยดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ผู้บังคับบัญชาก็ไม่อาจสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นกลับเข้ารับราชการตามเดิมได้ (นร 0709.1/242 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2544)
มาตรา 109
1. อ.ก.พ.กระทรวง ได้พิจารณารายงานการลงโทษข้าราชการตามมาตรา 109 วรรคหนึ่ง แล้วเห็นว่า กรณีเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และมีมติให้กรมดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการดังกล่าว ต่อมา อ.ก.พ.กรม ได้มีมติให้ลงโทษไล่ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการการสั่งลงโทษครั้งหลังถือเป็นการสั่งเพิ่มโทษ (นร 0709.2/584 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2542) 54
2. ผู้บังคับบัญชาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสำนวนการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาพยานหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลเพียงพอที่จะกล่าวหาว่าข้าราชการกระทำความผิดวินัยอย่างไร หรือไม่ ถือเป็นการดำเนินการ
ตามมาตรา 99 มิใช่การดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 102 เมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้วเห็นควรยุติเรื่อง จึงไม่มีกรณีต้องรายงานตามมาตรา 109 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 แต่อย่างใด (นร 0709.1/ล 169 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2544) 55
3. เมื่ออธิบดีรายงานการดำเนินการทางวินัยไปยัง อ.ก.พ.กระทรวงตามมาตรา 109 แล้ว การพิจารณาดำเนินการในขั้นต่อไปเป็นอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.พ.กระทรวง (นร 0709.1/ล 858 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2545)
4. การที่มาตรา 109 บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นรายงานการดำเนินการทางวินัยไปยังผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป และให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปมีอำนาจเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือยกโทษ ได้ แสดงให้เห็นว่าคำสั่งลงโทษของบังคับบัญชาชั้นต้นยังไม่เด็ดขาด การเปลี่ยนแปลงโทษดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแก้ไขคำสั่งลงโทษ ดังนั้น การสั่งลงโทษครั้งหลังจึงต้องสั่งให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ระบุไว้ในคำสั่งเดิม (นร 1009.1/ล 1095 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545)
5. ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการแล้ว จะต้องรายงานการดำเนินการทางวินัยต่อผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้นั้นตามลำดับจนถึงอธิบดี ตามมาตรา 109 วรรคหนึ่ง หากผู้บังคับบัญชาผู้ใดไม่ปฏิบัติ
ตามบทบัญญัติดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาผู้นั้นอาจมีความผิดวินัยตามมาตรา 85 วรรคหนึ่ง ได้ (นร 0709.2/642 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2541)
6. เมื่อมีคำสั่งเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ คำสั่งลงโทษเดิมเป็นอันยกเลิกตามนัยมาตรา 109 วรรคห้า ดังนั้น เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งเพิ่มโทษข้าราชการจากลดขั้นเงินเดือนเป็นไล่ออกจากราชการ คำสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนดังกล่าวจึงถูกยกเลิก และเป็นผลให้ทางราชการต้องคืนเงินเดือนตามคำสั่งลงโทษ (เดิม) ที่ให้ลดขั้นเงินเดือนไปแล้วให้แก่ข้าราชการผู้นั้นด้วย (นร 0709.2/ป 256 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541)
มาตรา 112
เมื่อศาลมีคำสั่งให้ข้าราชการซึ่งหายไปเป็นคนสาปสูญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว โดยผลของกฎหมายถือว่า “ถึงแก่ความตาย” ซึ่งย่อมเป็นผลให้ต้องถือว่าข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพราะตาย (นร 0709.2/563 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2542) 60
มาตรา 113
ข้าราชการส่งหนังสือขอลาออกจากราชการทางไปรษณีย์ (EMS) โดยขอลาออกจากราชการในวันเดียวกับที่ได้ระบุไว้ในหนังสือขอลาออก แม้กรณีจะมิใช่เป็นการยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ ก.พ.ว่าด้วยการลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2536 ก็ตาม แต่เพื่อความเป็นธรรมและให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 113 ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสามารถอนุญาตให้ลาออกจากราชการได้ (นร 0709.2/533 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2542)
มาตรา 115
1. ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52 มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการได้ หากการสอบสวนปรากฏว่าข้าราชการผู้นั้นหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติราชการ และการให้ผู้นั้นอยู่รับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหาย
แก่ราชการ ซึ่งจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป (นร 0709.1/279 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544)
2. ผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52 อาจพิจารณาดำเนินการสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการเพราะเป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติงาน หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการตามมาตรา 114 (3) และมาตรา 115 แล้วแต่กรณีได้ และหากผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการในกรณีดังกล่าวโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงผู้บังคับบัญชาก็ย่อมที่จะสั่งแก้ไขให้ถูกต้องได้ (นร 0709.1/ป 455 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2544)
มาตรา 124
ทายาทของข้าราชการผู้กระทำผิดวินัยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย เนื่องจากการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญให้อุทธรณ์ได้เฉพาะสำหรับตนเองเท่านั้น
จะอุทธรณ์แทนกัน หรือมอบหมายให้ผู้อื่นอุทธรณ์แทนไม่ได้ (นร 0709.1/200 ลงวันที่ 18 กันยายน 2544)
มาตรา 125
เมื่อมีการรายงานการดำเนินการทางวินัยต่อ อ.ก.พ.กระทรวงตามมาตรา 109 วรรคหก และข้าราชการผู้ถูกลงโทษทางวินัยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษตามมาตรา 125 (3) อ.ก.พ.กระทรวง จะต้องพิจารณาอุทธรณ์ โดยนำรายงานการดำเนินการทางวินัยมาพิจารณาด้วย (นร 0709.1/266 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544) 65
มาตรา 129
การใช้สิทธิร้องทุกข์จะต้องปรากฏกรณีว่าถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ออกจากราชการ หรือเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติต่อตนไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชา ดังนั้น การที่ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นทำบันทึกรายงานพฤติการณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชาไปถึงผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป จึงยังไม่เข้าเหตุแห่งการร้องทุกข์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 129 และมาตรา 130 (นร 0709.1/ล 531 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544)
มาตรา 130
ผู้บังคับบัญชาสั่งงดโทษโดยให้ว่ากล่าวตักเตือนตามนัยมาตรา 103วรรคสอง มิใช่การลงโทษทางวินัย ผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนไม่สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ ส่วนการใช้สิทธิร้องทุกข์ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือน ไม่ว่าจะเป็นกรณีการใช้อำนาจในทางบริหารหรือทางวินัยก็ตาม หากผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ข้าราชการผู้นั้นก็สามารถใช้สิทธิร้องทุกข์ตามมาตรา 130 ได้ (นร 0709.2/377 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2541) 67
- 301864 reads