|
เบ็ดเตล็ด
1. การดำเนินการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนได้กำหนดอำนาจหน้าที่และวิธีการสอบสวนพิจารณาโทษไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากการดำเนินคดีอาญา ดังนั้น แม้ศาลจะมีความเห็น
ในสำนวนคดีแตกต่างออกไป ก็ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการทางวินัย (นร 0709.2/ป 480 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2542) 94
2. ข้าราชการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาโดยสุจริต ไม่อาจปรับบทเป็นความผิดวินัยฐานใดได้ (นร 0709.1/ ล 511 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2545) 95
3. ข้าราชการถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีย่อมไม่อยู่ในเงื่อนไขตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ที่จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบสวนให้ได้ความจริงว่าถ้าผู้นั้นไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนจะต้องได้รับโทษสถานใด เพื่อให้ทราบถึงสิทธิในการรับบำเหน็จบำนาญของทายาท (นร 0709.2/ป 152 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2541)
4. ข้าราชการที่มีกรณีหรือต้องหาว่ากระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยเรื่องที่กระทำผิดวินัย การจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญต้องรอไว้จนกว่าการสอบสวนปรากฏผล ถ้าปรากฏว่าข้าราชการผู้นั้นถูกลงโทษถึงไล่ออกหรือปลดออก ทายาทของข้าราชการผู้นั้นย่อมไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ (นร 0709.1/200 ลงวันที่ 18 กันยายน 2544)
5. การที่จะพิจารณาว่าการดำเนินการทางวินัยในเรื่องใดเป็นการดำเนินการซ้ำหรือไม่ ให้ยึดถือหลักเจตนาของผู้กระทำและข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป หากเป็นเรื่องกล่าวหาที่มีการกระทำหลายครั้งแต่มีเจตนาเดียวต่อเนื่องกันกรณีก็ต้องถือว่าการกระทำทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในเรื่องเดียวกัน เมื่อมีการดำเนินการทางวินัยกับผู้กระทำผิดไปแล้ว จะดำเนินการทางวินัยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ (นร 0709.1/ล 90 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545)
6. การที่ ก.พ.มอบอำนาจการตรวจสอบการดำเนินการทางวินัย และการออกจากราชการให้ อ.ก.พ.กระทรวง เป็นผู้พิจารณาแทนนั้น หากปรากฏว่าผู้รับมอบไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง ก.พ.ซึ่งมี
หน้าที่ กำกับ ดูแล ตรวจสอบ การดำเนินการดังกล่าวย่อมมีอำนาจดำเนินการแก้ไขได้ (นร 0709.2/ล 21 ลงวันที่ 27 มกราคม 2543) 99
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
1. นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม ย่อมมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น อีกทั้งมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใด ๆ ได้ (นร 0709.1/129 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2544) 100
2. ผู้ดำรงตำแหน่งอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ผู้ได้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนจะกระทำการเกินกรอบอำนาจที่ได้รับมอบหมายมิได้ หากมีกรณีเป็นที่สงสัยในเรื่องการมอบอำนาจให้พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของผู้มอบเป็นสำคัญ (นร 0709.1/ล 261 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2543)
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ข้าราชการออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญในวันที่ 1 ตุลาคม 2540 ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ป. ได้พิจารณามีมติให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงในวันที่ 30 กันยายน 2541 ถือว่าเป็นการดำเนินการตามเงื่อนไขของมาตรา 21 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 ประกอบบทเฉพาะกาล ตามมาตรา 128 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แล้ว ผู้บังคับบัญชาย่อมดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าข้าราชการผู้นั้นยังมิได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (นร 709.1/263 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2544) 102
- 17312 reads